ฌานแค่เครื่องมือ (ติดฌาน)
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เรา พวกเราติดในฌานไง ติดในฌาน เป็นช่างนะ ช่างไม้ไม่ติดในเครื่องมือของไม้หรอก ฌาน สมาธินี้เป็นแค่เครื่องมือ ฌาน สมาธิเป็นเครื่องมือของการมรรคอริยสัจจัง สัมมาสมาธินี้เป็นหนึ่งไง สัมมาสมาธิกับฌาน เดี๋ยวจะแยกสัมมาสมาธิกับฌานออกจากกัน แต่นี่เป็นเครื่องมือ เพราะว่ามันเป็น ๑ ในมรรค ๘ มัคโค มรรคคือทางอันเอกที่จะพ้น
ในเมื่อสมาธินี้เป็นแค่หนึ่งเดียว จะไปติดในสมาธิได้อย่างไร
สมาธินี้เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องอาศัย เป็นเครื่องใช้ของการจะทำวิปัสสนา วิปัสสนาต้องมีสมาธิ เห็นไหม
สมาธิกับฌานต่างกันตรงไหน
สมาธินะ เหมือนกับความสว่าง เห็นไหม นี่มืดหมดเลย ที่ไหนมีที่มืด จุดเปิดไฟขึ้นนี่มันสว่าง นั่นคือสมาธิ เห็นไหม จุดไฟขึ้นคือว่าเราเปิดไฟ ไฟทำลายความมืดหมดเลย คือความสว่าง จิตของเราปกติมันทุกข์อยู่ มันมืด ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย มันมืดหมดเลย เราทำสมาธิเข้าไป พุทโธๆๆ เข้าไป จิตมันสงบเข้าไปๆ ความสว่างกระจ่างแจ้งคือความรู้ไง ความเข้าใจนั้นคือความสว่าง ความเข้าใจ จัดระบบความคิดที่เรียบร้อย นี่ไม่ลังเลสงสัยในความคิดเลย เห็นไหม นี่คือสมาธิ
ฌาน มันก็กำหนดเพ่ง กำหนดเพ่งให้เป็นฌาน เหมือนกับจุดไฟให้สว่างเหมือนกัน แต่มีโคมบังคับอยู่ เห็นไหม เราสังเกตได้ เราเปิด ไอ้พวกที่อ่านหนังสือนี่มันจะมีโคมบังคับอยู่ มันจะพุ่งไปทางเดียว ทางที่ว่าโคมส่องให้บังคับให้แสงไฟนี้ไปทางเดียว ฌานคือการเพ่งอยู่ การเพ่งคือว่ามันส่งออกไป การทำกำหนดฌานขึ้นมา ฌานจะทำให้มีความรู้สึกอยากรู้ข้างนอก คือส่งออกไป หมุนเวียนออกไป นี่คือฌาน
ฌานกับสมาธิ ยังควรจะเป็นสมาธิ แต่ฌานกับสมาธิจะว่าเป็นอันเดียวก็ได้ แต่ถ้าว่าอันเดียวกันมันก็ต่างกันโดยเนื้อหาสาระเหมือนกัน ฉะนั้น ติดในฌานมันยิ่งออกไปใหญ่ มันไม่ใช่ติดในสมาธิ ติดในสมาธิยังมีคุณค่ามากกว่าคำว่าติดฌานนะ ติดฌานคือติดการส่งออกไป นี่ฌานส่งออกไป แล้วฌานส่งออกไปมันออกไปจากฐานที่เราควรจะเข้าไปหา เกิดเป็นสัมมาสมาธิ เห็นไหม ความสว่างขึ้นมานี่
ของเราจะแสวงหาในห้องหรือในบ้านของเรา เห็นไหม ในบ้านของเรา ในห้องของเรานี่มันมีของเก็บอยู่นี่เรามองไม่เห็น มันมืด เราเปิดไฟขึ้นมา พอเปิดไฟขึ้นมามันจะเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไรๆ เราเห็นขึ้นมา เห็นไหม นี่ความเห็นนั้น พอเห็นแล้วค่อยจับสิ่งนั้นมา ค่อยว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเราจริงหรือไม่จริง นี่ยกขึ้นวิปัสสนา ความจะยกขึ้นวิปัสสนาต้องเป็นสัมมาสมาธิ
ถ้ามิจฉาสมาธิ ฌานนี่เป็นมิจฉาหรือ? ไม่ใช่ ฌานก็ไม่ใช่สัมมาหรือมิจฉา ฌานนี้เป็นฌานกลางๆ เป็นตัวของฌาน แต่จิตที่ไปรับรู้ส่งออก เห็นไหม ความส่งออกหมายถึงว่าไปรับรู้ อยากรู้อยากเห็น ความอยากรู้อยากเห็น ความที่ว่าตัวเองไม่มีพื้นฐานเดิม การส่งออกนั้นมันจะตื่นเต้น มันจะดีใจกับสิ่งนั้นไป มันจะวิ่งออกไป นี่คือการติดฌานไง ถ้าติดฌานหมายถึงว่า ติดในความรู้ที่พุ่งออกไป ติดความรู้ความเห็นที่แปลกประหลาด นั่นคือการติดฌาน
ติดฌาน มันถึงว่าเป็นเครื่องมือว่า ช่างไม้เป็นผู้ติดฌาน ช่างเครื่องยนต์เป็นผู้ที่ติดเครื่องมือไม่ได้ เครื่องมือนี้เป็นที่พึ่งแก้ไข ช่างยนต์ เห็นไหม พวกเครื่องมือนี่ใช้ไปพลิกแพลงแก้ไขเครื่องยนต์นั้นเท่านั้น ช่างไม้ ค้อน สิ่ว นี้เอาไว้แค่ทำให้บากไม้ถากไม้ให้ไม้ประกบเข้าเป็นตัว เป็นผลงานขึ้นมา เป็นผลงานขึ้นมาถึงว่าเป็นช่าง ช่างคือรู้วิธีการเทคนิคในการประกอบสิ่งนั้นๆ ขึ้นมาเป็นวัตถุเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา ช่างเครื่องยนต์หมายถึงแก้ไขเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นมา แล้วเครื่องมือนี่ช่างคนนั้นจะไปติดได้อย่างไร
ในเมื่อเป็นช่างไม้ไปติดเครื่องมือนี่ เครื่องมือนั้นเป็นเครื่องมือหากิน เป็นเครื่องมือประกอบสิ่งนั้น ประกอบการงานให้สำเร็จขึ้นไป เห็นไหม เขายังไม่ติด ในเมื่อเขาเป็นช่าง เขารู้หลักการเขายังไม่ติด แล้วผู้ที่จะชำระปฏิบัติชำระกิเลสออกจากใจ จะไปติดในฌานได้อย่างไร เพราะฌานนั้นก็เป็นแค่เครื่องมือไง
คนที่จะเอาผลงานของมัน เอาผลงานจากฌานนั้น ฌานนั้นทำให้สงบขึ้นมาเป็นฌานขึ้นมา ฌานแล้วก็ทำให้เป็นสัมมา คือว่าฌานนี้ส่งเข้ามาหาความรู้ภายในไง หาความรู้คือว่ารู้การชำระกิเลสของเรา
กิเลสคือความโลภ โกรธ หลง หลงในตัวเองนี่ หลงใหลได้ปลื้มไปทุกๆ อย่างที่เขาเยินยอปอปั้น เห็นไหม นี่ทรงไว้ไม่ได้ คนที่หลงใหลมันต้องมีเชื้อไฟเผาผลาญ ต้องมาเผาผลาญพลังงานอันนี้ให้มันเกิดความเคลิบเคลิ้มตลอดเวลา แล้วไปชำระไอ้พลังงาน คือว่าไอ้กิเลสที่ทำให้โลภ โกรธ หลง เห็นไหม พลังงานที่ทำให้เคลิบเคลิ้มไง
สรรเสริญ นินทา นินทาเจ็บปวด สรรเสริญนี่เคลิบเคลิ้ม นินทาทำให้ผูกโกรธ ทำให้เกิดปฏิฆะ เห็นไหม นี่ชำระอันนี้ออกไป สิ่งที่ชำระออกไปนั้นคือผลงานของฌาน ของสมาธิ ด้วยวิปัสสนา ด้วยมรรคอริยสัจจัง เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะประกอบขึ้นมา เห็นไหม
ค้อนตอกตะปูเข้าไป ตอกตะปูตัวเดียวจะเป็นบ้านขึ้นมาได้อย่างไร มันต้องมีเสาเรือน มีการเข้าไม้อีกมหาศาลเลย ฌานก็เป็นแค่ค้อนอันหนึ่ง แล้วส่วนที่จะใช้สอย เห็นไหม วิชาการเทคนิค คือปัญญา คือความดำริชอบ นี่มรรคอยู่ที่ตรงนั้นไง ความดำริชอบ ศีล สมาธิ ปัญญา มันถึงจะก้าวเดินออกไปได้
คำว่า ติดฌานๆ นี่แหม มันพูดนะ พูดน่ะพูดง่าย แล้วคนติดมันก็ไม่ค่อยจะเข้าใจด้วยนะ มันจะเห็นว่าช่าง ถ้าช่างติดในเครื่องมือ ไปไหนี่พกเอาค้อนติดหลังไปด้วยนี่ไม่บ้าเหรอ ค้อนนี่เขาเก็บไว้ในลัง เวลาทำงานขึ้นมาก็มาใช้มาตีมาอะไรเสร็จแล้วเขาก็เก็บไว้ในลัง
นี่เหมือนกัน ฌานนี่มันก็เหมือนกัน อยู่ในใจ เกิดขึ้นๆ เราต้องสร้างขึ้นมาด้วยนะ มันก็เหมือนค้อนอันหนึ่ง ค้อนอันนั้นจะใช้ประโยชน์อะไร ค้อนใช้ใช่ไหม ความดำริยังไม่มีจะใช้ได้อย่างไร ความดำริคือความเห็นไง ความเห็นว่าอันไหนเป็นกิเลส
กิเลสมันอยู่ในกาย อยู่ในเวทนา อยู่ในจิต อยู่ในธรรม
เห็นไหม ความดำริคือว่า ช่างเห็นว่างานนี้ควรทำอย่างไร บ้านนี้จะเป็นบ้านทรงอะไร ควรจะทำอะไรขึ้นมา ทำขึ้นมาแล้วถึงได้เอาค้อนเอาสิ่วมาถากมาถางว่าจะประกอบรูปทรง นี่ฌานกับสมาธิมีผลแค่นั้น
ถึงว่า ไม่ใช่ติดในสมาธิหรือติดในฌาน เพียงแต่ว่าต้องทำความสว่างขึ้นมาในใจ นี่ทำความสว่างขึ้นมาให้เห็นว่าสิ่งใดอยู่ที่ไหนไง สิ่งที่เราจะแก้ไขอยู่ที่ไหน จะสร้างบ้านจะสร้างแบบใด ผู้ที่จงใจจะสร้าง จะสร้างบ้านทรงไหน จะมีวาสนาบารมีขนาดไหนที่ว่าบ้านจะเล็กบ้านจะใหญ่ วัสดุอุปกรณ์มีมากมีน้อย ถ้ามีน้อยก็สร้างบ้านหลังเล็กๆ ถ้ามีมากก็สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ เห็นไหม นี่ความเห็นตรงนั้นเริ่มต้น นี่ยกขึ้นวิปัสสนา เห็นว่าควรสร้างอย่างไร เห็นว่ากาย เวทนา จิต ธรรมอยู่ตรงไหน แล้วก็ยกขึ้นวิปัสสนา มันถึงจะเป็นมรรคออกไป
มันถึงว่า มันเกินเลยคำว่าติดฌานอีก คำว่าติดสมาธิ ติดฌาน นี่มันเป็นแค่จุดหนึ่งเท่านั้นเอง ไอ้วิปัสสนานี้มันเกินเลยอันนี้ไปอีกมหาศาลเลยนะ เกินเลยคำว่าติด เพราะว่าเครื่องมือนี้เอามาใช้เป็นพื้นฐาน พอใช้เป็นพื้นฐานแล้วก็วิปัสสนาขึ้นไป
วิปัสสนาคือการใคร่ครวญหยั่งรู้ความติดที่ว่า ไอ้ความเคลิบเคลิ้ม ไอ้โลภ โกรธ หลง ที่ในหัวใจนั่นน่ะ แล้วพอหมดจากตรงนี้ไปแล้วมันก็ไปอ้อยอิ่ง เห็นไหม ไม่ใช่โลภ ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่หลง แต่เป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานคืออวิชชา ตัวอวิชชาตัวนั้นเป็นพลังงานเฉยๆ ไม่ใช่โลภ ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่หลง แต่มันโลภ โกรธ หลงโดยความละเอียดอ้อยสร้อยไง
ไฟสุมขอนน่ะ ไม้สุมขอน ไฟสุมขอนมันค่อยๆ เผาไป ไฟเย็น เห็นไหม ไฟเย็นมันเผาสิ่งนั้นมันเข้าไป แต่เวลามันโดนแล้วมันแสบปวดร้อนเหมือนกัน นี่เหมือนกัน อ้อยอิ่งในใจมันก็ให้ความทุกข์เหมือนกัน แต่ไม่ใช่โลภ ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่หลง
โลภ โกรธ หลง นางตัณหา นางอรดี โลภ โกรธ หลง เป็นลูกของอวิชชา อวิชชานี้เป็นยอดเรือนยอดของความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะมันมีโลภ โกรธ หลง มันถึงออกมา เห็นไหม
อาจารย์มหาบัวบอกว่า เพราะมีหัวใจ มีอวิชชาแล้ว อวิชชานี้มันอ้อยอิ่ง แต่ไอ้กามราคะที่ออกไปจากอวิชชานี้ต่างหากที่ทำให้โลกนี้เจ็บแสบปวดร้อน
ไอ้กามราคะ ไอ้คนติดในกามนั้นน่ะ ชำระกามเข้ามาแล้วมันก็มาอ้อยอิ่งตรงนี้อีก เห็นไหม มันถึงว่ามันผ่านโลภ โกรธ หลง เข้าไปอีก เห็นไหม แล้วมันจะไปติดอะไร มันผ่านเข้าไปในตรงนั้นแล้ว
นี่คำว่า ติดฌานๆ ติดฌานมันก็ติดสิ แต่ตรงนี้คือตัวติดเลย ติดฌานในรูปราคะ อรูปราคะ นี่คือตัวมันเองไง ตัวมันเองมันอ้อยสร้อยในตัวมันเอง แต่มันก็ไม่เห็น ความอ้อยสร้อยของรูปราคะ อรูปราคะ มานะอยู่ในตัวนั้นน่ะ นี่มันละเอียดอ่อนจนต้องจุดไฟให้สว่างขึ้นมามันถึงจะเข้าไปเห็นตรงนั้น
ความสว่างของใจคือความดำริชอบ ศีล สมาธิ ปัญญา จะบอกติดอะไรไม่ได้ แต่ควรใช้อะไรก่อนหลัง ถ้าไม่มีความสงบ ไม่มีฌาน ไม่มีศีล ไม่มีฌาน ไม่มีสมาธิ มันก็ไม่มีการจุดสว่างขึ้นมาเห็นกองวัสดุว่าเราควรทำอะไร แต่ถ้าเราจุดไฟสว่างขึ้นมาแล้วเห็นแต่ว่า เพ่งว่ากองวัสดุก่อสร้างนี้จะสร้างอะไร เราเพ่งอยู่ เราดูอยู่ มันก็ไม่เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา เห็นไหม นี่ติดฌานคือเปิดสว่างขึ้นมาเห็นวัสดุ แล้วไม่ทำอะไรเลย นั่นคือติดฌาน
แต่นี่ประกอบเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาจนจะมุงหลังคาอยู่แล้วจะไปติดฌานได้อย่างไร บ้านมันจะเสร็จอยู่แล้วน่ะ นี่บ้านมันจะเสร็จมันก็หมุนไป ถ้าบ้านยิ่งเสร็จเข้าไปใหญ่ เป็นนายช่างใหญ่ นายช่างใหญ่จะติดเครื่องมือของนายช่างใหญ่ บ้าเหรอ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)